คิดแล้วเป็นทุกข์ พึงละได้ด้วยคิดถึงบุญกุศลความดีที่ตนเคยทำไว้ในกาลก่อน ดบ่อยๆ
ความสุขใจนั้นมันคือกระแสที่จิตปรุงแต่งออกมา หาใช่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่ที่เป็นความสุข
รูปเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
เสียงเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
กลิ่นเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
รสเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
โผฏฐัพพะเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
ไม่ปรากฏว่าเขาบอกว่าเขาสุขเขาทุกข์
เขาเป็นเพียงแต่อาการ แต่จิตใจที่ยังมีอวิชชาโมหะความหลงที่ ไม่รู้ตามความเป็นจริง
จึงโง่หลงปรุงแต่งทุกข์เผารนให้เร่าร้อนจิตใจ
แทนที่จะฉลาดปรุงแต่งความสุข ความเย็น ขึ้นมาให้จิตใจนี่เย็น
แต่สุขที่อาศัยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนั่นก็เป็นความสุขอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า สุขที่อิ่งอาศัยอามิส ต้องคอยประคับประครองให้มีมาให้อายตนะภายใน ประสบ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ผู้ใดอยากพบความเย็นใจ พึงน้อมนำพระธรรม มาปฏิบัติที่จิตใจตน เรียกว่าละอกุศลธรรมนั่นเองคือการปฏิบัติธรรม
ราคะละได้ด้วยอสุภะ
โทสะละได้ด้วยเมตตา
โมหะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการ
คิดแล้วเป็นทุกข์ พึงละได้ด้วยคิดถึงบุญกุศลความดีที่ตนเคยทำไว้ในกาลก่อน คิดบ่อยๆ เมื่อคิดบ่อยๆนั่นแหละคือการพยามใส่เหตุหรือสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งภาวะที่เป็นกุศล ผลคือความสุขเย็นใจ
ถ้าคิดถึงบาปมันทุกข์ ก็คิดถึงการกระทำที่ตนเคยทำบุญกุศลในคราวก่อนกาลก่อนบ่อยๆ นั้นนั่นแลคือการสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งให้เป็นความสุขเย็นใจ
เจริญพร////
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น