อนุโมทนา" บุญ "จากผู้อื่นหรือคนอื่นที่กระทำดี
.11 พ.ย. 2015
อนุโมทนา" บุญ "จากผู้อื่นหรือคนอื่นที่กระทำดี
ไม่ว่าจะ ทางกาย,ทางวาจา,ทางใจ
แล้วเราก็อนุโมทนา พออนุโมทนาแล้วรู้ว่าจิตเป็นบุญ จิตมันจะเบา
มันสะอาด มันสดชื่น มันอิ่มเอิบ มันปิติสุข มันโล่ง ใจมันเบา ใจมันว่าง
ใจมันสบาย หรือ มันสว่าง หรือ มันรู้สึกดี หรือ มันมีสติตื่นขึ้นมาในปัจจุบันหล
ุดออกจากโลกของความคิด รู้สึกสงบ เป็นต้น ถ้ามีอาการทางจิตอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง
ดังที่กล่าวมา นี่เรียกว่า อนุโมทนาบุญสำเร็จผล
ถ้าได้อย่างหลังจะดีมาก คืออนุโมทนาแล้ว จิตมันหลุดออกจากโลกของ
ความคิด แล้วอยู่ในปัจจุบันได้ ถึงจะไม่ตลอดไป
บุญกำลังบุญกุศลที่อนุโมทนาข้อหลัง จะแรงมาก (ภาษาอีสาน เอิ้นว่า
คนอนุโมทนาบุญเป็น)
และถึงเวลาจะทำกาละ(ตาย) เวลาจะตายถ้าโชคร้ายหน่อย
โดนพายุอารมณ์อกุศมาให้ผล มาปกคลุมห่อหุมจิตไว้ให้มืด
แล้วหลงยึดอารมณ์อกุศลอันวุ่นวายนั้นไว้ แล้วตายลงเป็นผี หรือเปตร
ถ้าตอนเป็นคน เขาอนุโมทนาบุญเก่ง, อนุโมทนาบุญคล่อง, อนุโมทนาบุญ
เป็น จะเป็นผีเป็นเปตรได้ไม่นาน
ถ้ามองไปเห็นพระ หรือเห็นญาติกำลังทำบุญอุทิศให้ตน แล้วอนุโมทนา
แล้วหวนละลึกถึงตอนที่ตนยังมีชีวิตเป็นคน "ได้เคยไปทำบุญ ใส่บาตตรงแยกนั้น
ยืนตรงนั้นตรงนี้ ใส่สิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือเคยไปที่นั่นที่นี้ วัดนั้นวัดนี้ ทำบุญกับพระองค์
นั้นองค์นี้บาง ทำบุญให้ทานกับขอทานบ้าง เอาเศษอาหารให้หมาบ้าง
ช่วยคนไว้บ้าง บริจากเลือดไว้บ้าง จิตผีตนนั้นก็จะบังเกิดเป็นกุศลขึ้นภายใน
จะรู้สึกดี จะรู้สึกสบาย จะรู้สึกเอิบอิ่ม รู้สึกปิติ รู้สึกสว่าง รู้สึกโล่ง รู้สึกเบา
เป็นอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผีตนนั้น ก็จะเคลื่อนปลี่ยนภพภูมิใหม่ทันที
แต่ผีบางตนเช่น ตายในอารมณ์ที่แสนวุนวาย ในอารมณ์ที่เสียใจ ยังห่วง
นั้นนี่ไม่อยากจากไม่อยากตาย
เช่น เรื่องแม่ลูก
*แม่จะตายคนจะตาย ลูกไม่ควรอย่างยิ่งที่จะร้องไห้ให้เห็น ไม่ควรอย่างยิ่งที่
จะออนวอนให้คนป่วยอยู่
ถึงลูกจะไม่อยากให้แม่จากไปก็ตาม ต้องใจแข็ง ต้องอดทน เพื่อไม่ให้แม่เ
ป็นห่วง ให้แกไปเสวยกุศลที่ทำ
และควรชวนแม่คุยชวนหวนละลึกถึงเรื่องบุญ กุศลที่แม่ได้เคยทำ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ
แรกๆ ช่วนคุยเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ และบอกแม่ให้มั่นรู้ลมหายใจ เข้าออกบ่อยๆ
หรือดูท้องพองยุบ บ่อยๆ*
ถ้าตายแบบจิตมืดบอด ผีตนนั้น จะหวนคิดหากุศลที่ตนเคยทำไว้ไม่ได้เลย
เพราะติดอยู่ในโลกของความคิด
ถอยจิตออกจากความคิดอกุศลไม่ได้
(ผีก็ตกอยู่ใต้อารมณ์เหมือนกับคน)
ตราบใดที่ยังถอดออกจากอารมณ์อกุศลไม่ได้ ก็ต้องเป็นทุกข์แบบผีอยู่อย่างน
ั้นตลอดไป จนกว่าจิตจะเป็นกุศล หรือจนกว่าจะมีผู้มีกระแสพลังเม
ตตาเยอะกวางขวาง แผ่ให้แบบเจาะจง สะกิดให้ออกจากค
วามคิดอกุศลม่านมืดได้
อันนี้ก็คือการเปลี่ยนภพภูมิของผีหรือเปตร
มันเปลี่ยนกันที่จิตที่ใจ
การเปลี่ยนภพภูมิของสัตว์นรกก็คล้ายๆกัน พวกคนที่ทำบาปมากๆไปตกนรก
ก็จะเรียกชื่อใหม่ว่า "สัตว์นรก"
ก็คล้ายๆกัน ก็เหมือนกันถ้าจิตเป็นกุศลในขณะที่ปีนต้นงิ้วอยู่ อยู่ในกระทะทองแ
ทง กำลังอยู่ในหลุ่มถ่านเพลิงอยู่
ถ้าจิตปรากฏเป็นกุศล
ก็อุบัติเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา เทพธิดา เลย แล้วแต่ระดับควา
มสว่างของกุศลที่ปรากฏตอนนั้นในจิต
กุศลสว่างก็เป็นมนุษย์
สว่างมากก็เป็นเทวา
สว่างๆนี่ ก็คือความดี บุญมันให้ผลปึ๋งๆแรงๆก็พ้น
ความเป็นมนุษย์มาจากบุญที่เกิดจากการรักษาศีล บางคนที่อ่านอยู่นี้
อาจเคยเกิดในสมัยพุทธกาล เคยเจอพระพุทธเจ้ามาก่อนก็ได้
และเคยรักษาศีลไว้ สะสมทีละครั้งทีละเล็กละน้อย หลายภพหลายชาติ
พอไปตกนรก ถึงเวลาบุญมันให้ผลพอดี
ดีดปึ๋งไปเกิดเป็นมนุษย์เลยหรือเกิดเป็นเทวดาเลยนางฟ้าเลย
และสัตว์นรก ถ้าจิตเป็นอกุศลน้อยลงก็เปลี่ยนภพขุมนรกใหม่ มาเป็นขุมที่ตื้
นขึ้นกว่าเดิมนิดหนึ่ง
แต่ผู้ที่ไปตกนรก ยากแสนยากที่จิตจะเป็นกุศลได้
ตามที่ได้อ่านมา คนที่ไปตกนรกแล้วขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์
เช่น พ่อค้าคนหนึ่งรวยมากๆ
แต่ตายท่าไหนไม่รู้ ไปเกิดในนรกถูกไฟกรรมไหม้อยู่
หลายแสนปีนรก
พระพุทธเจ้าก็ส่องไปดูด้วยตาทิพย์ ได้เห็นอยู่ในนรก แล้วตรัสบอกพระเ
จ้าปเสนทิโกศล
้
เวลาหลายแสนปีนรกไม่ใช่รวดเร็วนะครับ
1วัน1คืนของขุมนรกที่ตื่นที่สุด
เท่ากับ 9ล้านปีมนุษย์
ขุมที่ลึกลงไปอีก ก็คูณเท่าตัว = 18 ล้านปี
แต่เศษฐีพ่อค้าคนนี้อยู่ขุมที่ลึกลงไปอีก
เพราะบาปแรงมาก ฆ่าญาติผู้มีบุญคุณตาย
กับทั้งตอนเป็นคนไม่ทำกุศลด้านอื่นๆเลย
และหลายแสนปีผ่านไป
จิตของพ่อค้า เป็นกุศลขึ้นมาในระดับพอจะเป็นมนุษย์ได้
จึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะกุศลจากการมีศีลในชาติปางไหนไม่รู้ที่เคยท
ำให้ผล จึงได้เกิดเป็นมนุษย์
ก็ได้เกิดในตระกูลร่ำรวยมาก เพราะเคยทำทานกับพระปัจเจกพุทธะไว้
จึงได้เป็นคนรวย แต่ไม่ยอมใช้จ่าย ไม่ยอมกินอาหารที่ดี ไม่ยอมนอนที่ดีๆ
ไม่ยอมใส่ชุดผ้าดีๆ
เพราะกรรมคือ ให้ทานแล้วเสียดาย
จึงรวยแบบ ขอเรียกว่าจน
ดังนั้นเราทานอะไร ทานให้ขาด อย่าเสียดาย
และ หากไม่มีวัตถุจะทำทาน
ไม่ได้ไปทำทานที่ไหน แต่การอนุโมทนาบุญกับผู้ที่ ทำดีทางกาย วาจา
ใจ ก็เป็นทางมาแห่งบุญทางใจของผู้อนุโมทนาเอง
ผู้ที่ทำกุศล
กุศลทางกาย กุศลทางวาจา กุศลทางจิต
ทางกายเช่น บุคคลที่ทำบุญใช้ร่างกายทำกุศล
ยกตัวอย่าง บริจากเลือด ช่วยคนข้ามถนน เก็บไม้เสียบลูกชิ้นทิ้งให้เป็นที่
เป็นทางใหม่ ออกแรงช่วยงานสังคม เป็นหมอ พยาบาล หรือกางเต้นงานบ
ุญกุศล ใส่บาติ พิมพ์ธรรมะ นวดให้พ่อให้แม่ รู้ลมหายใจ และอีกหลายประการ
เป็นต้น ที่แสดงว่าเป็นการสร้างกรรมดีโชว์ออกมาทางกาย
ทางวาจา เช่น บุคคลที่ใช้ ปากใช้เสียงพูด ในทางที่ดี พูดให้คนที่แตกก
ันคืนดีกัน พูดชักชวนคนให้ไปทางสว่างทางบุญทางกุศล
หรือพูดให้ธรรมะผู้อื่น การสวดมนต์ การภาวนา หรือพูดสอนให้คว
ามรู้ที่ดีแก่ผู้อื่น ยกตัวอย่างครู หรือพูดให้คนเป็นคนดี รู้ดีรู้ชัว อันนี้ดีนะ อันนี้
ไม่ดีนะ และอีกหลายประการ เป็นต้น ที่แสดงว่าเป็นการสร้างกรรมดีออ
กมาทางวาจา
ทางใจ เช่น การเลือกคิด เลือกไม่ดีคิดจะเบียดเบียนผู้อื่น คิดจะขโมยผู้อื่น คิด
จะทำเรื่องผิดศีลธรรมทางกามอารม์ทางเพศของผู้อื่น คิดจะให้เขาพินาศ
ให้เขาเดือดร้อน ให้เขาฉิบหาย
คิดจะทำลายความดีของผู้อื่นเป็นต้น
เลือกดีคิดเมตตาผู้อื่นทั้งคนดีคนไม่ดี ทั้งสัตว์ทั้งหมาทั้งแมว คิดดีต่อผู้อื่น คิด
จะชวนผู้อื่นไปทางถูก ทางสว่างว่างทางดี ทางกุศล คิดไปทางให้คนไม
่เดือดร้อน คิดแก้ปัญหาอยากแก้ทุกข์ ผ่อนทุกข์ให้ผู้อื่น คิดช่วยเหลือ คิดอยาก
ให้รู้ให้เห็นดีเห็นชั่ว เป็นต้น ที่จริงมีหลายประมาณ
นี่คือ ความดี3อย่าง เป็นต้น
ถ้าอนุโมทนาแล้วใจยังห่อเหี่ยวเป็นทุกข์อยู่
ต้องหัดอนุโมทนา บ่อยๆ จนรู้สึกดีใช้ได้
ถ้าใจมันยังอยู่ในโลกของความคิด ที่เหตุเกิดจากเรื่องวุนวายต่างๆ
ต้องเปลี่ยนเส้นทางความคิดใหม่
ต้องไม่ยึดอารม์นั้นไว้
ให้หายใจลึกๆๆๆแล้วค่อยปล่อยออกเบาๆ สัก3ครั้ง
แล้วลองอนุโมทนาใหม่ภายในใจ
ถ้ารู้สึกดีจากการอนุโมทนา อย่างไม่โกหกตัวเอง ว่ารู้สึกดี ถือว่าใช้ได้แล้ว
# กำลังแกไขให้อ่านเข้าใจง่ายๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น