ทำทาน หรือทำกุศลใดๆก็ตาม จะต้องอธิฐานว่า "ขอให้เป็นเหตุปัยจัยให้ลุถึงความสิ้นทุกข์จริงๆด้วยเถิด
ทำทาน หรือทำกุศลใดๆก็ตาม จะต้องอธิฐานว่า "ขอให้เป็นเหตุปัยจัยให้ลุถึงความสิ้นทุกข์จริงๆด้วยเถิด" ลักษณะอย่างนี้
หรือ "ขอให้เป็นเหตุปัจจัยให้ถึงพระนิพพานด้วยเถิด"
หรือ"ขอให้เป็นเหตุปัจจัยให้สำเร็จมรรคผลด้วยเถิด"
อันใดก็ได้ แม้พระพุทธเจ้าเอง ถ้าท่านทำบุญกุศลต่างๆ แล้วไม่อธิฐาน ขอสรรพัญญูตะญาณ คือขอให้ได้สำเร็จโพธิ์ญาณ ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง ท่านก็คงไม่ต่างจากสัตว์ทั้งหลายที่ทองเที่ยวอยู่ในวัฏฏะสงสาร คือเมื่อทำบุญแล้ว ผลบุญก็ให้ผล ให้ผลแล้วก็หวดไป เหมือนผัวเมียคู่หนึ่งที่บุญบารมีเยอะมาก มากจนพอจะสามารถบรรลุธรรมได้ แต่ ไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้และบอกมรรคคา
คือว่าพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ประมาณว่า
ดูกร อานนท์เธอเห็น สามีภรรยาแก่เฒ่าทั้งสองนั้นไหม
พระอานนท์ตอบว่า เห็นพระเจ้าข้า
ดูกร อานนท์ในช่วงวัยต้นถ้าเขาทั้งสอง ขวานขวายในกิจการงานทางโลก เขาจะได้เป็นเศษฐีอันดับที่2ในประเทศนี้
และถ้าช่วงวัยต้นเขาไม่เอาทางโลก แต่กลับออกบวชพระพฤติธรรม ผู้ชายจะสำเร็จอรหันต์ ส่วนผู้หญิงจะสำเร็จอนาคามี
และถ้าหากแม้นว่าช่วงวัยต้นเขาไม่ออกบวชประพฤติธรรม แต่ช่วงวัยกลางออกบวชประพฤติธรรม ผู้ชายจะสำเร็จอนาคามี
ส่วนผู้หญิงจะสำเร็จสกิทาคามี
และถ้าหากแม้นว่าวัยกลางไม่ออกบวชประพฤติธรรม แต่ช่วงวัยสุดท้ายเขาทั้งสองออกบวชประพฤติธรรม ผู้ชายจะสำเร็จสกิทาคามี ส่วนผู้หญิงจะสำเร็จโสดาบัน ฯลฯ
แต่ว่าตอนนี้เขาทั้งสองแก่ชรามากแล้ว บุญกุศลเหล่านั้นก็ให้ผลไปแล้ว หมดไปแล้ว
สมกับหลวงปู่เหรียญเทศณ์ว่า "บุญจะหมดไปได้ ก็ต่อเมื่อมันมาให้ผลแล้วเสร็จสิ้นไป"
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "การสั่งสมบุญนำสุขมาให้"
ดังนั้น
จึงจะเป็นการทำทานที่ถูกต้อง ต้องทำด้วยใจที่ดี และอธิฐานด้วย
ครั้งหนึ่งเคยได้ขึ้นธรรมาส เทศณ์ในศาลาวัดหนองป่าพง ตอนวันพระ (ในฐานะพระที่มาจำพรรษาที่นี้ครั้งแรก ทุกองค์จะต้องได้ขึ้นเทศณ์ เป็นเวลา 15-20 นาที ) แต่พอขึ้นเทศณ์จริง อาตมาเทศณ์จนถึงเที่ยงคืน เทศณ์รื่องลักษณนี้แหละ
จนพระมหาเถระให้สัญญาณระฆัง และว่า เที่ยงคืนแล้ว วันต่อๆมาก็มีทั้งติ ทั้งชม เกี่ยวกับการที่ขึ้นเทศณ์ในครั้งนั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น