ทำไมพระจึงออกธุดงค์...? :โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
: ทำไมพระจึงออกธุดงค์...? :
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จากหนังสือ...สู่แสงธรรม ตามคำสอนของหลวงพ่อ
โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป
........เนื่องด้วยข้าพเจ้ามีความสงสัย และยังไม่เข้าใจอยู่ตลอดมาว่า "ทำไมพระปฎิบัติทั้งหลายจะต้องออกธุดงค์ การธุดงค์เพื่อไปบำเพ็ญกรรมฐานอยู่ในป่ากันดาร กับ บำเพ็ญกรรมฐาน อยู่ที่วัดก็ไม่น่าจะมีผลแตกต่างกัน หากมีความตั้งใจจริง และเพียรพยายามปฎิบัติจริงไม่ท้อถอย"
........การที่ข้าพเจ้าคิดเช่นนี้ เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า "หากตั้งใจจริงและมีความเพียรพยายามที่เด็ดเดี่ยวไม่ท้อถอยแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนาได้เสมอมา" อยากจะยกตัวอย่างสักนิดเพื่อประกอบความเชื่อมั่นของข้าพเจ้า(ขอท่านผู้อ่านอย่าได้คิดว่าข้าพเจ้ายกตัวเองเลยนะครับ เพราะถ้าข้าพเจ้ามิใช่เป็นคนประเภทนี้แล้วปัญหาในข้อนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น)
.........เช่นเมื่อข้าพเจ้าเรียนหนังสือข้าพเจ้าก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องสอบให้ได้ที่๑ และเมื่อตั้งใจแล้วในตอนปิดเทอมใหญ่ ขณะที่เด็กทุกคนเอาแต่เที่ยว และเล่นกันอย่างสนุกสนานนั้นข้าพเจ้าจะนั่งดูหนังสือเรียนของปีต่อไปทันที ตัวอย่างเช่นเมื่อสอบไล่ม.๓ เสร็จ จะเลื่อนขึ้น ม.๔ มาดู อะไรที่จะต้องท่องจำ เช่น ทฤษฎีของเราขาคณิตบทต่างๆ หรือ บทท่องจำต่างๆ ข้าพเจ้าจะรีบท่องไว้ทันที บรรดาแบบฝึกหัดทุกบทข้าพเจ้าจะทำความเข้าใจและทดลองทำดูทั้งหมด เป็นต้น ดังนั้นข้าพเจ้ามักจะเรียนจบในตอนปิดเทอม โดยครูยังไม่ได้สอนเสมอและเมื่อมีการสอบทีไรข้าพเจ้าก็จะสอบได้เป็นที่๑ ตลอดมา และแม้ข้าพเจ้าจะเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมวัดดอนเมือง
........แต่เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเรียนอยู่ในโรงเรียนนายร้อย จปร. ก็หาได้เคยนึกหวาดหวั่น นักเรียนที่มาจากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในกรุงเทพฯไม่ และเคยได้เป็นแม้กระทั่งหัวหน้าตอนด้วยคะแนนดี อีกทั้งผลการเรียนตลอด ๗ ปี (เตรียมนายร้อย ๒ ปี และนักเรียนนายร้อยอีก ๕ ปี) ก็ยังอยู่ในประเภทท็อปเท็นอีกด้วย ส่วนในด้านการกีฬานั้นหากสนใจในกีฬาประเภทใดข้าพเจ้าจะทุ่มสุดตัว และเล่นจนกว่าจะได้ถ้วยหรือรางวัลชนะเลิศเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาในร่ม เช่น สนุกเกอร์ บิลเลียด ไพ่บริดจ์ หรือกีฬากลางแจ้งเช่น ฟุตบอล ตะกร้อข้ามตาข่าย โดยเฉพาะยิมนาสติคนั้น หากท่าใดที่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ ก็จะหลบเข้าโรงยิมในยามค่ำคืน ไปฝึกซ้อมจนกว่าจะได้ หรือกอล์ฟ หากตีไม่ดี ข้าพเจ้าก็จะไปนอนคิดทบทวนถึงความผิดพลาดของวงสวิง หากนึกออกแม้ดึกดื่นเที่ยงคืน ตี ๑ ตี ๒ ข้าพเจ้าก็จะถือไม้ลงไปฝึกซ้อมที่สนามจนกว่าจะแก้ไขได้เป็นต้น
........ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงฉงนสนเท่ห์ใจนัก และในวันหนึ่งข้าพเจ้าก็ได้ถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ ทำไมพระจึงไม่กระทำความเพียรเพื่อให้บรรลุมรรคผลกันในวัด มีความจำเป็นอะไรหรือครับ ที่จะต้องออกธุดงค์ไปทำความเพียรกันในป่า" เมื่อถามคำถามนี้แล้วข้าพเจ้าก็เล่าเหตุผลที่ข้าพเจ้าเข้าใจ และเชื่อมั่นดังที่ได่้กล่าวแล้วแต่ต้นให้หลวงพ่อฟัง และย้ำในสุดท้ายว่า"อย่างผมนั้นเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมวัดดอนเมือง ซึ่งนับว่าเป็นโรงเรียนบ้านนอกในขณะนั้นก็ไม่เห็นจะต้องคิดดิ้นรนเข้าไปเรียนร่วมกับนักเรียนชั้นดีจากโรงเรียนต่างๆเหล่านั้น
ในโรงเรียนนายร้อย ผมก็สามารถเรียนกับพวกเขา ได้อย่างสบายมาก และผมยังได้มีโอกาสเป็นหัวหน้าตอนเสียด้วยซ้ำไป"
หลวงพ่อ : เออ! แล้วคุณเคยเล่าถึงเรื่องวิธีที่จะเอาดีในการเรียนและการเล่นของคุณให้ลูกๆ ฟังบ้างไหม? หลวงพ่อถามเรื่อยๆ
ข้าพเจ้า : เล่าให้ฟังบ่อยเลยครับ เพราะอยากจะให้เขาเรียนเก่ง ข้าพเจ้าตอบอย่างภูมิใจ
หลวงพ่อ : แล้วลูกนำวิธีการของคุณไปใช้บ้างไหม?
ข้าพเจ้า : ตอนแรก เขาไม่เชื่อหรอกครับว่าเด็กอายุแค่สิบกว่าขวบระดับชั้นมัธยมสมัยนั้น จะมีใครบ้าเรียนขนาดเอาหนังสือชั้นสูงกว่ามานั่งเรียนในช่วงปิดเทอม เพราะเด็กอายุขนาดนั้นน่าจะชอบเล่นซุกซนมากกว่า จนผมต้องเอาสมุดพกตั้งแต่ ม.๑ ถึง ม.๖ ออกมาให้ดู นั้นแหละครับจึงเชื่อว่าผมสอบได้ที่ ๑ ทั้งสอบซ้อม สอบไล่มาโดยตลอดจริง
หลวงพ่อ : อะไรกัน คุณเก็บสมุดพกตั้งแต่ชั้นมัยมจนถึงบัดนี้ทีเดียวหรือ? หลวงพ่อถามติง
ข้าพเจ้า : ครับ! ผมเก็บไว้แม้ขณะนี้ก็ยังอยู่ กระดาษกรอบเป็นสีน้ำตาลเชียวครับ ข้าพเจ้าตอบอย่างภูมิใจ
หลวงพ่อ :ในเมื่อลูกคุณเขาเชื่อแล้วว่าวิธีการของคุณจะทำให้เรียนดีได้ แล้วเขายอมเรียนตามวิธีของคุณหรือไม่? หลวงพ่อถามยื้มๆ
ข้าพเจ้า : ไม่มีใครเอาวิธีของผมไปใช้สักคนครับ เอาแต่เล่นสนุกสนานกันไปตามประสาเด็กหมด ข้าพเจ้าตอบอย่างท้อแท้
หลวงพ่อ : นี้แหละคำตอบละ คนเรานั้นไม่เหมือนกันคุณลองไปถามดูได้ว่า ยังจะมีใครสักกี่คนที่เขาใช้วิธีการเรียน และการเล่นแบบคุณบ้าง มันผิดปกตินะ มันหนักเกินไปนะสำหรับบุคลลทั่วๆไป การจะทำเช่นนี้ได้ต้องอาศัยกำลังใจสูง มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยวไม่ท้อถอย อีกทั้งต้องมีความเพียรเป็นเลิศจึงจะกระทำได้นะ จริงของคุณการกระทำความเพียรเพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพานนั้นกระทำกันในวัดโดยไม่ต้องออกธุดงค์ก็ได้ ถ้ามีกำลังใจเด็ดเดี่ยวไม่ท้อถอย และมีความเพียรเป็นเลิศ
........แต่โดยทั่วๆไปแล้วพระภิกษุ ที่เพิ่งเรื่มปฎืบัติใหม่ๆ จะกระทำได้สักกี่องค์ เพราะสถานที่และสื่งแวดล้อมไม่ให้ อีกทั้งยังมีกิจอย่างอื่นที่สงฆ์จะต้องช่วยกันปฎิบัติเป็นส่วนรวม นอกจากนั้นญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา ที่เข้าออกเพ่นพ่านในวัดก็มีมาก เมื่อมาก ตาก็จะเห็น หูก็จะได้ยิน ลิ้นก็จะลิ้มรสอาหารโอชะ จมูกจะได้กลิ่น จิตเกิดการรับรู้ เกิดอารมณ์หวั่นไหว ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมได้โดยง่ายจริงไหม?
หลวงพ่ออธิบายอย่างอารมณ์ดี และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังนั่งฟังด้วยความสนใจ จึงอธิบายต่อว่า
หลวงพ่อ : ด้วยเหตุนี้เองพระบรมศาสดา ซึ่งหยั่งรู้ถึงอารมณ์ของพระภิกษุที่เริ่มปฎิบัติใหม่ๆ เป็นอย่างดี จึงได้มอบอุบายให้พระภิกษุที่เริ่มปฎิบัติออกธุดงค์เพื่อหาความสงบวิเวกในป่า ในเขา ทั้งนี้ก็เพื่อให้อารมณ์ของจิตสงบ ระงับในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสีย กล่าวคือตาที่เคยเห็นรถรุ่นใหม่รูปงาม หรือ อุบาสิกาที่อ่อนหวานน่ารัก ก็กลับเห็น ลิง ค่าง บ่าง ชะนี หรือ เสือ สิงห์ กระทิง แรด แทน ความอยากได้ใคร่มีในรูปก็จะหมดไป หูซึ่งเคยได้ยินแต่เสียงอันไพเราะ หรือเสียงหวานเสนาะโสตของสาวงาม ก็กลับได้ยิน เสียง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี หรือ นก กา แทน ความอยากได้ใคร่ดีในเสียงก็จะสงบไป
........จมูกที่เคยได้กลิ่นหอมจากน้ำหอมลือชื่อ ก็จะได้กลิ่นไอดินแทนความอยากได้ใคร่ดีในกลิ่น ก็จะสงบระงับไป ลิ้นที่เคยได้ลิ้มรสอาหารรสเลิศที่ญาติโยมเคยเอามาถวาย กลับต้องลื้มรสเผือก มัน ผลไม้ป่าแทน ความอยากได้ใคร่ดีในรส ก็จะสงบระงับไป ส่วนกายที่เคยหนุนหมอนอ่อนนุ่ม ห่มผ้าห่มยามหนาวหรืออาบน้ำฟอกสบู่อย่างสะดวกสบาย ก็จะได้สัมผัสกับขอนไม้ หญ้า ฟาง แทน ความอยากได้ใคร่ดีในสัมผัสก็จะสงบระงับไป
........และเมื่อความอยากได้ใคร่ดีในรูป เสียง รส กลิ่น เสียง สัมผัส หมดก็หมายถึงกามฉันทะหมด ความคิดที่จะจองล้างจองผลาญกับผู้ใดในป่าก็ย่อมไม่มี เป็นอันว่า พยาบาทไม่มี ความคิดฟุ้งซ่านไม่มี เพราะไม่มีอะไรทำให้คิดเหมือนอยู่วัด ความลังเลสงสัยคือวิจิกิจฉา ก็ย่อมไม่มี เพราะถ้ามีก็คงไม่ออกธุดงค์ และถ้าไม่มีความง่วงเหงาหาวนอนด้วยก็หมายความว่า นิวรณ์ ๕ ซึ่งเป็นเสี้ยหนามในการบำเพ็ญเพื่อข้าถึงปฐมฌานหมดไป การเข้าสู่ปฐมฌานก็ย่อมเป็นไปได้โดยง่าย และเมื่อปฐมฌานเกิดได้ ฌาน ๒ ,๓ , ๔ ก็จะเกิดขึ้นมาได้ นั่นคือการเจริญสมถกรรมฐานเพื่อเข้าถึงฌาน ๔ ย่อมทำได้อย่างแน่นอน
........และเมื่อทรงฌานได้ เอากำลังของฌานมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ ก็ย่อมเป็นไปได้โดยง่ายอีก ในที่สุดปัญญาก็จะเกิด และเมื่อปัญญาเกิด ก็นำปัญญานั้นแหละไปห้ำหั่นกิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม จนละสังโยชน์ ๑o ไปทีละข้อๆ ถ้าละได้ ๓ ข้อ ก็เป็นโสดาบัน และสกิทาคามี ถ้าละได้ ๕ข้อ ก็เป็นอนาคามี ถ้าละได้ทั้ง๑o ข้อก็เป็นพระอรหันต์ บรรลุมรรคผลนิพพานได้เร็วกว่าที่จะเริ่มฝึกและนั่งเพียรปฎิบัติอยู่แต่ในวัดนะ การธุดงค์จึงเปรียบเสมือนเครื่องช่วย หรือ เครื่องผ่อนแรงที่ช่วยให้การบำเพ็ญเพียรไปสู่มรรคผลนิพพานของพระภิกษุที่เริ่มปฎิบัติใหม่ๆง่ายขึ้นเท่านั้นเองนะ
หลวงพ่ออธิบายอย่างยืดยาว แต่แปลกเป็นที่สุดที่ข้าพเจ้าสามารถจดจำได้ทั้งหมดแม้จนกระทั่งทุกวันนี้
ข้าพเจ้า : ถ้าการออกธุดงค์ ได้ผลดีเช่นนี้ ทำไมพระภิกษุจึงไม่ธุดงค์ไปเรื่อยๆ เล่าครับ กลับเข้ามาอยู่ในวัดในเมืองอีกทำไมครับ ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย
หลวงพ่อ : อ้าว! ถ้าท่านวำเร็จเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ไม่กลับวัดท่านจะมีโอกาสได้แสดงธรรมสั่งสอนอุบาสก อุบาสิกา เพื่อสั่งสมบารมีต่อไปได้อย่างไรล่ะคุณ จะให้ท่านนั่งสั่งสอนลิง ค่าง บ่าง ชะนี ในป่าตลอดไปหรือ
หลวงพ่อตอบอย่างเห็นขัน และเมื่อเห็นข้าพเจ้าหัวเราะจึงพูดต่อไปว่า
หลวงพ่อ : พระพุทธเจ้าเอง เมื่อท่านได้ทรงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็เข้าเมืองมาแสดงธรรมโปรดผู้คนมิใช่หรือ
ข้าพเจ้า : จริงครับ หลวงพ่อ
หลวงพ่อ : อีกประการหนึ่ง การกลับเข้าวดในเมืองก็จะเป็นการทดสอบจิตไปในตัวด้วยนะว่า เมื่อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปเจอกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันเย้ายวนในเมืองเข้าแล้วไปบอกจิต จิตมีปัญญาเพียงพอที่จะรู้เท่าทันกิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรมหรือไม่ ถ้ายังหวั่นไหวก็จะต้องออกธุดงค์ เข้าป่าไปฝึกกันใหม่นะ เพราะถือว่าจิตไม่แน่จริงเข้าใจหรือยังล่ะ
หลวงพ่ออธิบายเพิ่มเติมแล้วถาม
ข้าพเจ้า : เข้าใจแล้วครับ หลวงพ่อ
ข้าพเจ้าตอบด้วยความปลาบปลื้มปิติ
หวังว่าคำถามข้อนี้ของข้าพเจ้า จะทำให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจถึงประโยชน์ ที่พระออกธุดงค์บ้างพอสมควรทีเดียวนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น