ผู้ใดไม่มีศรัทธา " ผู้นั้นคือคนจนเข็นใจ
ผู้ใดไม่มีศรัทธา " ผู้นั้นคือคนจนเข็นใจในอริยะวินัย"
อารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏนั้น
พระพทธเจ้าสอนว่า " เนโสหะ มัสสะมิ "
ซึ่งแปลว่า "นั่นไม่ใช่เรา"
พอได้ฟังเช่นนั้นแล้ว
จิตก็จะแยกออกมาเป็นตางหาก
ไม่เกี่ยวกับอารมณ์
แม้คราวต่อไป มีทุกข์เกิดขึ้น ก็รู้สึกว่า เราอยู่อิสระออก
มาตางหากจากทุกข์
แม้คราวต่อไป มีสุขเกิดขึ้น ก็รู้สึกว่า เราอยู่อิสระออก
มาตางหากจากสุข
และต่อมา
และก็จะเริ่มรู้สาเหตุของสุข
และก็จะมาเริ่มรู้สาเหตุของทุกข์
ว่ามีเพราะความคิด(อันเป็นความอยาก)
แม้มีความทุกข์เกิดขึ้น แล้วประสงค์จะให้หายทุกข์ แต่ทุกข์ไม่หายก็เป็นทุกข์
แม้มีความสุขเกิดขึ้น แล้วประสงค์อยากจะให้อยู่ ไม่อยากให้หายไปก็เป็นทุกข์
คนเราเกิดมาแล้ว ก็จะต้องแก่ ต้องเจ็บ ตองตาย
แม้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ก็ต้องรับทั้งผลของกรรมดี กรรมชั่วที่ตนทำ
ต้องเกิดมาประสบกับทุกข์นาๆประการ
ทั้งทุกข์จากการไม่สมหวังความอยากต่างๆ อยากอยู่แต่
เขาไม่ให้อยู่ หรืออยากไปแต่เขาไมให้ไป อยากให้เขารักแต่เขาไม่รัก อยากให้เขาไม่รักแต่เขารัก อยากมีชีวิตอยู่ไม่อยากตาย
หรืออยากกินแต่เขาไม่ให้กิน อยากเที่ยวแต่เขาไม่ให้ไปเที่ยวอยากได้มือถือแต่มันไม่ได้ ก็เป็นทุกข์
จนในที่สุดเข้าสรุปชีวิตนี้ออกมาได้ว่า มีแต่สิ่งที่ไมเที่ยงทั้งนั้นเลย
ชั่วคราวทั้งนั้นเลย ยึดอะไรไว้ไม่ได้เลย
มีเวลาให้ใช้สอยจำกัดทั้งนั้นเลย
# เวลาโมหะแทรก ก็เผลอเป็นบ้าเข้าไปยึดอารมณ์
เวลาใดมีสติก็คล้ายๆ หลุดออกมาห่างจากตัวอารมณ์เลย
สมเด็จพระญาณสังวร พระสังฆราชอค์ก่อน
เทศว่า สติ นี่เองเป็นเหตให้ โพชฌงค์ข้ออื่นๆตามมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น